Project Management

วิธีการ Transform องค์กรสู่ยุคใหม่ ด้วยการใช้งาน Project Management

วิธีการ Transform องค์กรสู่ยุคใหม่ ด้วยการใช้งาน Project Management

องค์กรยุคใหม่ ต้องฉับไว และเท่าทันการเปลี่ยนแปลง ภายใต้กระแส Disruption ในทุกวงการ หลายบริษัทเริ่มมีกลยุทธ์ในการปรับตัว ด้วยกระบวนการที่เราเรียกว่า Transformation ซึ่งการ Transform ดังกล่าวนี้ มีหลายความหมาย มีทั้งความหมายในแง่กลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ (ฺBusiness Transformation) หรือการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามานำความเปลี่ยนแปลงในองค์กร (Digital Transformation) ซึ่งในวันนี้ เราจะมุ่งความสนใจไปที่อย่างหลังเป็นสำคัญ
เนื่องจากปัจจุบัน เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนของธุรกิจ เพิ่มทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้กับธุรกิจได้พร้อม ๆ กัน วันนี้เราจะชวนนักอ่านทุกคนมาเรียนรู้การ Transform องค์กรสู่ยุคใหม่ ด้วยกรอบคิดเรื่อง Project Management ที่จะช่วยให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านนั้นเป็นระบบ ทำได้จริง และอยู่ในกรอบเวลาที่เราวางเอาไว้ได้ เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

Project Management คืออะไร?

การบริหารโครงการ (Project Management) เป็นเรื่องของการจัดการ การใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างเหมาะสม เพื่อให้การดำเนินโครงการบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายในเวลาที่จำกัด โดยการจัดการนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไข 3 อย่าง คือ เวลา (Time) งบประมาณ (Budget) และคุณภาพ (Quality) ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้คือหัวใจของการบริหารโครงการ (Project Management)

หลักสำคัญของ Project management คือการจัดการทรัพยากร โดยในเบื่องต้น “ทรัพยากร” ในที่นี้ หมายถึง คนทำงาน ความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญ การร่วมมือกันของทีมงาน ตลอดจนเครื่องมือ เครื่องใช้ สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ

ทรัพยากรเหล่านี้จะต้องถูกจัดการอย่างดี ไม่ว่าโครงการ (Project) เหล่านั้นจะว่าด้วยเรื่องใดก็ตาม แต่ทรัพยากรที่อยู่ภายใต้การบริหารจะต้องถูกจัดการอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมเราต้องทำความเข้าใจ Project management

ความสำคัญของการบริหารโครงการ (Project Management)

  1. ทำให้ทุกคนเข้าใจวัตถุประสงค์และหน้าที่ต่าง ๆ ของตัวเองภายใต้โครงการ (Project) แต่ละโครงการ
  2. ทำให้แผนงานมีความชัดเจน เกิดการประสานงานที่ดี ลดความขัดแย้งและความซ้ำซ้อนในงานที่ทำ
  3. ทำให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. มองเห็นความเสี่ยง และสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างเป็นระบบ

องค์ประกอบที่สำคัญของการบริหารโครงการ (Project Management)

  1. Requirement หรือโจทย์ที่เราต้องทำสำหรับแต่ละโครงการ ส่วนนี้จะบ่งชี้ว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำมีขอบเขตในเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพอย่างไร ซึ่งการเก็บ Requirement จะต้องระบุรายละเอียดอย่างชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปแก้โจทย์
  2. Cost คือ งบประมาณของโครงการ ซึ่งประกอบด้วย 3 M (Man, Money, Material)
  3. Time คือ ระยะเวลาที่จะดำเนินโครงการ ซึ่งจะต้องกำหนดห่วงเวลามาอย่างชัดเจน

Tip : โดยมากในองค์กรจะมีตำแหน่งที่เรียกว่า Project Manager เป็นผู้ดูแลควบคุมงานที่เป็นโครงการ (Project) ต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ลักษณะเฉพาะของตำแหน่งดังกล่าวในองค์กร คือการดูแลงานที่ไม่ใช่งาน Routine เป็น Strategic Project หรือโครงการที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนองค์กรในแง่มุมต่าง ๆ และนี่คือแง่มุมในเนื้องานที่ Project Manager จะต้องรับผิดชอบ

  1. Integration - การผสมผสานทุกอย่างเข้าด้วยกัน ทั้งข้อมูล คน ความรู้ของคนในทีม สิ่งแวดล้อม และอีกมากมาย เพื่อสร้างเป็นแผนงานที่ทำให้โครงการ (Project) เกิดขึ้นได้
  2. Scope - วางแผน และสร้างกรอบการทำงานอย่างเป็นระบบ
  3. Time - ควบคุมและ Monitor ให้งานต่าง ๆ สามารถส่งต่อได้ตามระยะเวลาที่มีการตกลงกันไว้
  4. Cost - วางแผนและควบคุมงบประมาณสำหรับโครงการ (Project) ที่รับผิดชอบ
  5. Quality - ควบคุมคุณภาพ และประสิทธิภาพของงานให้ออกมาอย่างที่วางแผนเอาไว้
  6. Human Resource - จัดหาและจัดการคนในทุก ๆ สายงาน ที่จำเป็นต่อการ Support โครงการ (Project) เพื่อให้โครงการดำเนินต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  7. Communication - การสื่อสารกับคนในทีม คนนอกทีม หน่วยงานต่าง ๆ ต้องเคลียร์ และชัดเจน
  8. Stakeholder Management - Stakeholder คือทุกคนที่มีส่วนร่วมกับโครงการนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของบริษัท ผู้ถือหุ้น ทีมงาน รวมถึงไป ชาวบ้าน หรือผู้ที่มีผลกระทบ ทั้งเชิงลบ และเชิงบวก จากโครงการ

จัดการองค์กรยุคใหม่ อยู่ที่ไหนก็บริหารได้ คลิก

Project Management เข้าใจการจัดการที่ดี มีขั้นตอนยังไง

หลักการในการบริหารโครงการ (Project Management) ที่ดีคือการแบ่งโครงการ (Project) ใหญ่ ๆ ให้เป็นโครงการ (Project) เล็ก ๆ ที่ง่ายต่อการดูแลบริหาร โดยวิธีการในการจัดการแต่ละโครงการ (Project) มีหัวใจสำคัญอยู่ 5 ขั้นตอน ซึ่งหากนักอ่านได้ลองอ่านข้อมูลจากแหล่งอื่น อาจพบว่ามีมาก หรือน้อยกว่านี้ ซึ่งนั่นก็มาจากการตีความและทำความเข้าใจของแต่ละสำนัก แต่โดยหลักการแล้ว 5 ขั้นตอนนี้คือขั้นตอนที่เป็นหัวใจ และมีความสำคัญสูงสุด

1. การริเริ่ม (Initiating) – ขั้นตอนแรกสุดของการบริหารโครงการ (Project Management) ก็คือการเริ่มต้น ในส่วนนี้ผู้มีหน้าที่บริหารโครงการ (Project Manager) จำเป็นต้องประเมินว่าโครงการ (Project) มีมูลค่าเท่าไร และมีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ โดยประเมินจากโจทย์หรือ Requirement ที่ได้รับ ซึ่งมาจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีความต้องการให้เกิดโครงการ (Project) แต่ละโครงการขึ้น ร่วมกับการดูเบื้องต้นว่าค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในการทำโครงการ เพียงพอสำหรับคุณภาพงานที่ต้องการหรือไม่

2. การวางแผน (Planning) – หลังจากที่โครงการได้รับการอนุมัติแล้ว ก็จะเข้าสู่กระบวนการการวางแผนโครงการ เพื่อที่จะลงรายละเอียด ในกระบวนการนี้จะมีการตั้งทีมงาน ทำแผนโครงการ กำหนดกิจกรรมย่อย เป้าหมายของกิจกรรมย่อย รวมทั้งค่าใช้จ่ายและทรัพยากรอื่น ๆ ที่ช่วยในการวางแผนบริหารโครงการมาใช้วิเคราะห์ และศึกษาความเป็นไปได้ในรายละเอียดด้านต่าง ๆ ของโครงการ ว่าเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการนำไปใช้มากน้อยเพียงใด ซึ่งจะทำให้มองเห็นเป้าหมายและผลที่จะได้รับ ถ้าผลการวิเคราะห์มีความเป็นไปได้ จะทำให้การตัดสินใจดำเนินโครงการมีข้อผิดพลาดน้อยลง

ขั้นตอนนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เจ้าของโครงการมั่นใจได้ว่ากิจกรรมทั้งหมดในโครงการจะอยู่ในเวลาและงบประมาณที่กำหนดไว้

3. การดำเนินงาน (Executing) – เมื่อมีการอนุมัติ และวางแผนอย่างรัดกุมแล้ว ก็เข้าสู่ขั้นตอนของการปฏิบัติงาน หากโครงการมีการวางแผนที่ดีและครอบคลุมมากพอ ขั้นตอนการดำเนินการก็จะทำได้ง่าย ขั้นตอนการดำเนินคือการทำงานเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ทุกคนพึงพอใจ

โดยหน้าที่หลักของผู้บริหารโครงการ (Project Manager) ก็คือการดูแลและบริหารจัดการให้ทรัพยากรต่าง ๆ ถูกนำไปใช้ตามแผนงานที่วางไว้ และสนับสนุนให้คนทำงานสามารถทำงานที่ตัวเองได้รับมอบหมายได้อย่างคล่องตัว

4. การตรวจสอบและควบคุม (Monitoring and Controlling) – ในขั้นตอนการดำเนินงาน จะต้องมีการตรวจสอบ และควบคุมคุณภาพของงานควบคู่ไปด้วย เป้าหมายของการตรวจสอบและควบคุม ก็คือการดูแลให้กิจกรรมทุกอย่างในโครงการเป็นไปตามที่กำหนดไว้ มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด รวมถึงควบคุมคุณภาพให้เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ได้

ทั้งนี้ นอกจากการควบคุมคุณภาพแล้ว การบริหารโครงการ (Project Management) ที่ดีจะต้องทำการควบคุมงบประมาณ ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาตามมาในภายหลัง

5. การประเมินและปิดโครงการ (Closing) – การประเมินโครงการว่าบรรลุผลสำเร็จตามที่ตั้งไว้หรือไม่ ต้องมีการจัดทำรายงานการตรวจสอบ โดยตรวจสอบระหว่างการดำเนินโครงการเก็บไว้เป็นข้อมูลและเสนอต่อผู้บริหารต่อไปหลังปิดโครงการ เพื่อประเมินว่าผลงานของโครงการเป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้เสีย หรือมีการปฏิบัติการใดผิดพลาดหรือไม่ ในรายงานควรมีการระบุ เพื่อนำไปปรับปรุงโครงการอื่น ๆ ต่อไป จากนั้นจึงปิดโครงการ

อุปสรรคที่มักพบในการบริหารโครงการ

  • ความสลับซับซ้อนของโครงการทำให้เกิดความยุ่งยากในการสื่อสาร และประสานงาน
  • ความต้องการเฉพาะด้านสำหรับลูกค้า
  • การปรับโครงสร้างขององค์กรทำให้ขาดอำนาจในการสั่งงานฝ่ายอื่น

ความเสี่ยงจากโครงการ

  • การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่ใช้ในการบริหารโครงการ
  • มีการวางแผนและการตั้งเวลาผิดพลาดทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามแผนได้

Transform องค์กรสู่ยุคใหม่ ด้วย Project Management

Digital Transformation กลายเป็นโจทย์สำคัญที่หลายองค์กรจะต้องตีให้แตก เพื่อนำองค์กรไปสู่โลกแห่ง Disruption ได้อย่างเข้มแข็ง โดยการเปลี่ยนผ่านของแต่ละองค์กรนั้นมีโจทย์และสิ่งที่ต้องแก้แตกต่างกัน สิ่งที่เราจะนำมาแชร์กันในวันนี้ เป็นกรอบคิดที่ทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น จะมีอะไรบ้าง มาดูกัน ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจ Digital Transformation กันก่อนเลย

Digital Transformation คืออะไร?

Digital Transformation เป็นกระบวนการที่องค์กรดำเนินการเพื่อปรับปรุงและเปลี่ยนผ่านรูปแบบการทำงานด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ พัฒนาศักยภาพของคนทำงาน และองค์กร

เป้าหมายหลักของ Digital Transformation คือการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมใหม่ทั้งเครื่องมือและวิธีคิด เข้ามาสร้างความสามารถในแข่งขัน ตลอดจนตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป้าหมายในแต่ละธุรกิจ

ที่สำคัญคือเทคโนโลยียังเข้ามาช่วยสร้างจุดขายที่แตกต่างให้กับองค์กรแต่ละองค์กรได้ด้วย โดยส่วนนี้ ขึ้นอยู่กับวิธีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งาน และเป้าหมายขององค์กรที่อยากได้จากกระบวนการ Digital Transformation

พูดให้ง่ายที่สุดคือ กระบวนการ Digital Transformation เกิดขึ้นได้กับทั้งการจัดการองค์กร และผลิตภัณฑ์ ในแง่องค์กร คือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงาน ตลอดจนการใช้กรอบคิดการพัฒนาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงาน อย่าง Agile, Scrum สิ่งเหล่านี้ต่างเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ Digital Transformation นอกจากนี้ยังมีเครื่องมืออื่น ๆ ที่เข้ามาช่วยในระบบการจัดการองค์กรตั้งแต่ต้นน้ำ ยันปลายน้ำ ตั้งแต่เครื่องมือในการวางแผน ไปจนถึงเครื่องมือการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า เป็นต้น

ในแง่ของผลิตภัณฑ์ คือการนำเทคโนโลยีมาอัปเกรดผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น ซึ่งส่วนนี้มักนำมาใช้ในสายการผลิต โดยสรุปทั้งสองแง่มุมนี้ หัวใจสำคัญของ Digital Transformation คือข้อมูล (Data) เมื่อองค์กรสามารถออกแบบเครื่องมือในการเก็บข้อมูลได้อย่างดี นำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มยอดขายให้กับองค์กรได้จริง ถึงจุดนี้ องค์กรก็จะมั่นใจได้ว่าองค์กรนั้น ๆ ถูกทำให้เป็นองค์กรดิจิทัลโดยสมบูรณ์

หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมหลายบริษัทจึงให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงองค์กรเพื่อให้เข้าสู่ยุคดิจิทัล คำตอบคือเพื่อไม่ให้ธุรกิจของพวกเขาโดน Disrupt

Disruption คือการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้องค์กรที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได้ตามสภาพแวดล้อม ก็ต้องล้ม หาย ไปจากระบบ ซึ่งก็คือการปิดตัวลงของบริษัท ตัวอย่างที่มีให้เห็นชัด คือ ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ที่นับวันผู้คนยุคใหม่หันไปใช้บริการรับข่าวสารผ่านอินเทอร์เน็ตกันมากขึ้นส่งผลให้ธุรกิจสื่อต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้ากับยุคใหม่ด้วยการผสานเทคโนโลยีเข้ากับธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งกระบวนการดังกล่าวก็คือ Digital Transformation

ผลกระทบของ Digital Transformation คือการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทำงานที่มีความยืดหยุ่นสูงขึ้น การเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น และประหยัดงบประมาณมากขึ้น การลงทุนในกระบวนการ Digital Trasformation คือการลงทุนระยะยาว ในโครงสร้างขององค์กร และผลิตภัณฑ์ แม้หลายองค์กรจะต้องทุ่มงบมหาศาลกับการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่เมื่อคิดกำไรในระยะยาว จะเห็นได้ชัดว่ากระบวนการนี้ช่วยองค์กรประหยัดต้นทุนได้ และทำให้เกิดความคล่องตัว ลดความซ้ำซ้อนในกระบวนการทำงานที่เป็นต้นทุนซึ่งมองไม่เห็นลงได้

Tip : เมื่อจะเปลี่ยนผ่านเป็นองค์กรดิจิทัล มีสิ่งสำคัญ 3 อย่างที่องค์กรควรทำความเข้าใจ ได้แก่

1. ประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience)

เป็นการทำความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าเพื่อที่องค์กรจะได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น

2. กระบวนการปฏิบัติงาน (Operational Process)

เน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานภายในองค์กร จากระบบที่จะต้องใช้กำลังเปลี่ยนไปเป็นการพึ่งพาเทคโนโลยีที่มากขึ้นเพื่อให้เกิดกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

3. โมเดลธุรกิจ (Business Model)

กระบวนการ Digital Transformation จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการทำธุรกิจเพื่อพัฒนาองค์กรให้ไปสู่การทำงานที่ดีขึ้น ทำให้องค์กรมีโอกาสได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ

ใช้ Project Management มา Transform องค์กรสู่ยุคใหม่กัน!

ต่อไปนี้คือขั้นตอนหลักในการดำเนินการทำการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล ด้วยกรอบคิดของ Project Management ที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงองค์กรเป็นไปอย่างมีระบบ และสามารถควบคุมให้เป็นไปตามเวลาที่กำหนดได้

ริเริ่ม

1. เข้าใจธุรกิจ - เริ่มทำความเข้าใจว่าทำไมธุรกิจเราจึงต้องเปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อม คู่แข่ง และความเป็นไปที่รายรอบองค์กร มีผลเสียมากแค่ไหนกับองค์กร เป็นเหตุผลที่เพียงพอหรือไม่ที่จะต้องทุ่มงบประมาณเพื่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร และหากต้องเปลี่ยนแปลง โจทย์ของธุรกิจของเราคืออะไร นี่คือสิ่งที่องค์กรต้องตอบให้ได้ ในกระบวนการริเริ่ม

วางแผน

2. วางแผนโครงการ (Project Planning) - ในขั้นตอนนี้องค์กรต้องกำหนดเป้าหมายและขอบเขตของโครงการ ที่สำคัญคือต้องออกแบบองค์กรดิจิทัลที่อยากจะเป็นก่อน ตอบให้ได้ว่าภาพสุดท้ายขององค์กรเราจะเป็นอย่างไร แล้วจึงวางแผนและรวบรวมทรัพยากรที่จำเป็น เช่น งบประมาณ บุคลากร และเครื่องมือที่จะใช้ ตลอดจนวางแผนเวลาที่เหมาะสมและกำหนดกิจกรรมที่ต้องทำในแต่ละระยะเวลา เพื่อให้โครงการดำเนินไปอย่างเป็นระบบ

3. วางแผนการดำเนินงาน (Work Breakdown Structure) - ทำการแบ่งงานออกเป็นกิจกรรมเพื่อให้งานดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและชัดเจน สามารถใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น แผนภาพการทำงาน (Workflow Diagram), หรือโครงสร้างงาน (Work Breakdown Structure) เพื่อช่วยแบ่งงานให้มีความเหมาะสมและไม่ขาดตกบกพร่อง ส่วนนี้จะเริ่มเป็นงานของ Project Manager แล้ว

4. การกำหนดระยะเวลา (Timeline Definition) - ต้องกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละกิจกรรม โดยใช้เทคนิคเช่น Diagram, แผนงาน (Gantt Chart) เพื่อแสดงระยะเวลาการทำงานของแต่ละกิจกรรม และการกำหนดส่วนที่สำคัญ เช่น การกำหนดวันสำคัญ (Milestones) เพื่อติดตามความคืบหน้าของโครงการ

การเปลี่ยนผ่านเป็นองค์กรดิจิทัลนั้น อาศัยการทำงานร่วมกันทั้งองค์กร ที่สำคัญต้องทำในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพราะกระบวนการเปลี่ยนผ่านส่งผลกระทบกับทุกภาคส่วนในบริษัท จึงควรใช้เวลาให้น้อยที่สุด เพื่อควบคุมระดับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

5. การจัดทีม (Team Organization) - เริ่มกำหนดทีมงานที่เหมาะสมสำหรับโครงการ โดยพิจารณาความสามารถและทักษะของสมาชิกในทีม ซึ่งควรกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละคนในทีมเพื่อให้งานดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

6. การจัดการทรัพยากร (Resource Management) - คุณต้องจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็นให้เหมาะสมกับงานที่ต้องทำ รวมถึงงบประมาณ, บุคลากร, วัสดุ และเครื่องมือที่ต้องใช้ในโครงการ การวางแผนและจัดการทรัพยากรให้เพียงพอและเหมาะสมจะช่วยให้งานดำเนินไปได้ตามที่วางเป้าหมายไว้

ดำเนินงาน

7. การดำเนินการและติดตาม (Execution and Monitoring) - ในขั้นตอนนี้คุณต้องดำเนินการตามแผนโครงการที่กำหนดไว้ ตรวจสอบความคืบหน้าของแต่ละกิจกรรม และติดตามการใช้ทรัพยากร

คุณสามารถใช้เทคนิคและเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อติดตามความคืบหน้าของโครงการ เช่น การใช้แผนภาพแกนต์ (Gantt Chart) หรือ Milestone เพื่อตรวจสอบและแสดงแผนการทำงานรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรม ตลอดจนสร้างระบบการติดตามความคืบหน้า (Progress Tracking System) เพื่อบันทึกและติดตามความคืบหน้าของกิจกรรม แต่ละรายการ เพื่อรวมและรายงานความคืบหน้า (Progress Reporting) ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการได้

8. การจัดการการสื่อสาร (Communication Management) - การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญในการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงองค์กร คุณควรกำหนดวิธีการสื่อสารที่เหมาะสม รวมถึงสร้างช่องทางการสื่อสารที่เปิดโล่งให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ เพื่อให้ข้อมูลและความคืบหน้าถูกต้องและทันเวลา

9. การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) - ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงองค์กร คุณควรจัดทำการวิเคราะห์ความเสี่ยงและกำหนดแผนการจัดการความเสี่ยง เพื่อลดความผิดพลาดและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

10. การดูแลเอกสาร (Documentation Management) การจัดเก็บและบริหารจัดการเอกสารเป็นสิ่งสำคัญในการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงองค์กร คุณควรสร้างและบริหารจัดการเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการอย่างเป็นระบบ ที่สำคัญต้องนำเทคโนโลยีมาใช้ ถ่ายโอนเอกสารทั้งหมดเข้าสู่ระบบบริหารจัดการ ที่ค้นหา และดูแลได้สะดวก นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านองค์กรสำเร็จและมีประสิทธิภาพ

11. การจัดการการฝึกอบรม (Training Management) - คนทำงานสำคัญที่สุด เมื่อองค์กรเปลี่ยนแปลง จะต้องฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้และทักษะที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถทำงานในรูปแบบใหม่หรือมีการปรับปรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรควรวางแผนและจัดการการฝึกอบรมให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ รวมถึงการประเมินผลและการติดตามความก้าวหน้าของการฝึกอบรมด้วย

12. การจัดการเปลี่ยนแปลง (Change Management) - เมื่อมีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงในองค์กร การจัดการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งสำคัญในการให้แนวทางและการสนับสนุนให้กับบุคลากรในการยอมรับและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ควรมีการตรวจสอบผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง และวางแผนสำหรับการสนับสนุนและการสื่อสารในการเปลี่ยนแปลงให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีและสามารถยอมรับได้สำหรับสมาชิกในองค์กร

ตรวจสอบและควบคุม

13. การตรวจสอบและประเมิน (Review and Evaluation) - เมื่อโครงการก้าวหน้าไปสู่ขั้นตอนต่างๆ ควรทำการตรวจสอบและประเมินผลโครงการ โดยใช้เครื่องมือเช่นการประเมินความสำเร็จของกิจกรรม (Activity Success Evaluation) และการวิเคราะห์การดำเนินงาน (Performance Analysis) เพื่อทำความเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและหาวิธีการแก้ไข

ปิดโครงการ

14. การปรับปรุงและการเรียนรู้ (Improvement and Learning) - เมื่อสามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาจัดการองค์กรในแง่มุมที่ต้องการได้สำเร็จ ก็ถือเป็นการปิดโครงการ จากผลการประเมินและการตรวจสอบ องค์กรจะได้บทเรียนสำคัญที่แน่นอนว่าต้องเจอระหว่างเปลี่ยนผ่าน ว่ากระบวนการทำงานแบบใดทำให้งานล่าช้า การจ้างงานใดซ้ำซ้อน ตลอดจนเห็นได้ชัดเจนว่าเทคโนโลยีลดต้นทุนขององค์กรได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งบทเรียนเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการต่อยอดขององค์กรไปสู่การนำเทคโนโลยีอื่น ๆ ในอนาคตเข้ามาใช้เพิ่มเติม  

เมื่อดำเนินการตามกรอบวิธีการดังนี้ ไม่ว่าการ Transform องค์กรของคุณ จะใช้แง่มุมไหนของเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ ก็สามารถดำเนินการให้สำเร็จได้ ตามกรอบเวลา และสามารถควบคุมการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ หากมีการนำเครื่องบริหารจัดการโครงการ (Project Management Tools) เข้ามาใช้ด้วย ก็จะยิ่งทำให้งานในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น วันนี้เรารวบรวมตัวอย่างเครื่องบริหารจัดการโครงการ (Project Management Tools) ที่ใช้งานง่าย และมีประสิทธิภาพ ให้เป็นไอเดียสำหรับองค์กรที่กำลังมองหาตัวช่วยเข้าไปปรับใช้

เครื่องมือสำหรับ Project Management ที่องค์กรยุคใหม่ต้องรู้

1. MANAWORK

MANAWORK เป็นเครื่องมือบริหารจัดการโครงการสัญชาติไทย โดยคนไทย สามารถใช้งานภาษาไทยได้เลย เหมาะกับองค์กรที่เริ่มต้นใช้เครื่องมือในการ Transform องค์กร ใช้งานง่ายและมีฟีเจอร์พร้อมช่วยคุณจัดการโครงการอย่างเป็นระบบ มีฟีเจอร์สำคัญอย่าง เป้าหมาย (Goal/OKRs) ที่สามารถเชื่อมโยงถึงทาสก์งาน และโปรเจกต์ได้ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถมองเห็นความคืบหน้าของงานได้อย่างชัดเจน ที่สำคัญราคาประหยัดมาก บอกเลยว่าเป็นเครื่องมือบริหารจัดการโครงการที่คุ้มค่าสุด ๆ

2. ClickUp

ClickUp โปรแกรมวางแผนงานที่มีความสามารถหลากหลายในการจัดการงาน โดยมีการออกแบบกลไกการทำงานอัตโนมัติที่ง่ายต่อการใช้งาน ด้วยความสามารถในการแยกงานต่าง ๆ เป็นหมวดหมู่และแสดงผลในรูปแบบแผนภูมิ สามารถเห็นรายละเอียดงานต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย สามารถกำหนดและการจัดลำดับความสำคัญของงาน มีความยืดหยุ่นสูงในการกำหนดงาน ทำให้งานที่ซับซ้อนดูง่ายขึ้น โดยผู้ใช้สามารถกำหนดเป้าหมาย วันที่กำหนดส่ง และลำดับความสำคัญได้อย่างง่ายดาย

3. Google Tasks

Google Tasks เครื่องมือจัดการงานและตัวช่วยในการจัดตารางเวลาที่มีความสะดวกและใช้งานง่าย ที่สำคัญคือเป็นที่นิยมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้บริการ Google ที่ใช้ Gmail หรือ Google Calendar เป็นประจำ ตัวแอป Google Tasks มีการออกแบบอย่างเป็นระเบียบและใช้งานง่าย สามารถสร้างรายการงานใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มรายละเอียดเพิ่มเติมเช่นวันที่กำหนดสำหรับงาน, วันสิ้นสุด, และรายละเอียดงาน เป็นต้น

หาเครื่องมือบริหารจัดการงานยุคใหม่เพิ่มเติม คลิก

สรุป

การ Transform สู่ยุคใหม่นั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งในโลกแห่งการ Disruption โดยองค์กรจะต้องทำความเข้าใจลักษณะ จุดอ่อน จุดแข็ง และมองหาโอกาสที่องค์กรจะได้ประโยชน์ในโลกยุคใหม่ให้ได้ เพื่อจะรวบรวมเป็นข้อมูลวิเคราะห์ต่อไปว่า องค์กรควร Transform ในแง่มุมใด

เมื่อได้คำตอบแล้วจึงริเริ่มวางแผนสร้างนโยบายการเปลี่ยนผ่านองค์กร และใช้กรอบคิดเรื่อง Project Management มาบริหารจัดการการเปลี่ยนผ่านองค์กรให้มีประสิทธิภาพ ภายใต้กรอบเวลาและทรัพยากรที่จำกัด

สำหรับผู้ที่มองหาตัวช่วยในการจัดระเบียบขั้นตอนการทำงาน MANAWORK เป็นหนึ่งในระบบที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหาร โดยระบบมีตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย วางแผนการทำงาน ไปจนถึงติดตามการทำงาน ช่วยให้ผู้ใช้งานทำงานได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น

ผู้ที่สนใจอยากติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MANAWORK สามารถติดต่อได้ตามรายละเอียดดังนี้

เบอร์โทรติดต่อ: (+66) 52 005 402 หรือ (+66) 63 535 1196

อีเมล: info@manawork.comFacebook: facebook.com/manawork.th

Project ManagementDigital Transformation
MANAWORK Editor MANAWORK Editor · 16 มิ.ย. 2566 เวลา 3:58 น.

SUGGEST POSTS