Remote Working

ทำงานให้มีประสิทธิภาพในโลกยุคใหม่ด้วย Remote Working

ทำงานให้มีประสิทธิภาพในโลกยุคใหม่ด้วย Remote Working

เดี๋ยวนี้หลายคนแบกเป้ หอบคอม ไปปักหลักอยู่เกาะแรมเดือน หรือไปต่างประเทศหลายอาทิตย์ติดต่อกัน จนหลายคนอาจจะสงสัยว่าคนเหล่านี้ทำงานอะไร

วันนี้เราชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับวิธีการทำงานแบบใหม่ ที่องค์กรยุคใหม่เริ่มเปลี่ยนมาใช้ นั่นก็คือ Remote Working นั่นเอง การทำงาน ที่ไม่ว่าคุณจะอยู่มุมไหนของโลกก็สามารถทำได้ และนี่อาจกลายเป็นคำตอบของคนที่มองหา Work-life Balance ในชีวิต รูปแบบการทำงานนี้เป็นยังไง มาดูกัน

Remote Working คืออะไร?

Remote Working (หรือที่เรียกอีกชื่อว่าการทำงานระยะไกล) คือรูปแบบของการทำงานที่คนทำงานสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ โดยไม่ต้องรวมตัวกันอยู่ในออฟฟิศแบบเดิม เพียงสถานที่เหล่านั้นมีอินเทอร์เน็ตและเครื่องมือออนไลน์ที่ใช้สื่อสารและทำงานร่วมกันได้ อย่าง อีเมล, โปรแกรมสื่อสารทางออนไลน์, การประชุมทางวิดีโอ ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการทำงาน

ระบบการทำงานแบบ Remote Working เริ่มเป็นที่รู้จักและถูกนำมาใช้อย่างจริงจังในช่วงการระบาดของ Covid-19 ที่เหล่าคนทำงานไม่สามารถรวมตัวกันในออฟฟิศได้แบบเดิม เป็นเหตุให้บริษัทต่าง ๆ ต้องสร้างระบบการทำงานจากที่บ้านขึ้นมา หรือที่หลายคนเรียกกันว่า Work from home หลังจากนั้นจึงมีหลายคนเริ่มทำงานจากที่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่บ้านบ้าง เพื่อเป็นการผ่อนคลาย และหลีกหนีความเครียดจากการทำงานที่บ้าน นี่จึงทำให้ความคิดเรื่อง Remote Working เริ่มถูกใช้อย่างแพร่หลาย

ทำไมองค์กรยุคใหม่ต้องนำ Remote Working มาใช้

การทำงานแบบ Remote Working คือการเปลี่ยนวิธีคิดการทำงาน โดยใช้ผลลัพธ์เป็นศูนย์กลาง กล่าวคือ ไม่ว่าสถานที่ หรือวิธีการได้มาซึ่งงานของคนทำงานจะเป็นอย่างไร ขอเพียงให้ส่งงานได้ทันเวลา มีปริมาณงาน และคุณภาพงานเหมือนทำในออฟฟิศก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

เพื่อให้องค์กรเปลี่ยนวิธีคิดการทำงานได้ง่ายขึ้น ข้อมูลวิจัยจากไมโครซอฟท์ พบว่าหลังจบวิกฤตการณ์ Covid-19 73% ของคนทำงาน ยังอยากให้องค์กรปล่อยให้พนักงานทำงานแบบ Remote Working ต่อไป แล้วยังพบอีกว่าหลายองค์กรได้เพิ่มเงื่อนไขการทำงานแบบ Remote Working เข้ามาใน Job Description มากขึ้นถึง 40% แม้จะจบช่วงของการแพร่ระบาดของ Covid-19 ไปแล้วก็ตาม

ตัวเลขสองส่วนนี้แสดงให้เห็นว่า คนทำงานพอใจกับรูปแบบการทำงานใหม่นี้ และเริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้บริษัทก็เห็นประโยชน์จากการทำงานรูปแบบนี้จึงสามารถเพิ่มเข้ามาใน Job Description โดยไม่กลัวว่าการทำงานรูปแบบนี้จะทำให้มี Productivity ของบริษัทน้อยลง

เห็นอย่างนี้แล้ว บริษัทหรือองค์กรน่าจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าทำไมจึงควรใช้ Remote Working กับองค์กร

เพื่อให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เราจะพามาดูข้อดีของการทำงานแบบ Remote Working ว่าสำหรับคนทำงานแล้ว Remote Working นั่นมีข้อดีอย่างไร

ข้อดีของ Remote Working

ข้อดีสำหรับคนทำงาน

  1. ความยืดหยุ่นในการจัดการเวลา - การทำงานระยะไกลช่วยให้คนทำงานสามารถจัดการเวลาได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถกำหนดเวลาทำงานที่เหมาะสมตามสถานการณ์และความต้องการส่วนตัวของได้
  2. ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง - Remote Working ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังสถานที่ทำงาน คนทำงานไม่ต้องใช้เงินสำหรับค่าน้ำมันหรือค่าเดินทางโดยขนส่งสาธารณะ เพื่อเดินทางไปยังสถานที่ทำงานทุกวันอย่างที่เคยเป็นมา เงินส่วนที่เหลือก็สามารถนำไปใช้เพื่อกิจกรรมที่รักได้ต่อไป
  3. สมดุลความสม่ำเสมอระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน - Remote Working ช่วยให้คนทำงานสามารถสร้างสมดุลในการบริหารเวลาการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวได้มากขึ้น คุณสามารถรวมกิจกรรมส่วนตัว เช่น การออกกำลังกายหรือการท่องเที่ยว กับการทำงานโดยไม่ต้องสูญเสียเวลาในการเดินทาง
  4. โอกาสในการทำงานร่วมกับทีมที่แตกต่างกัน - Remote Working เปิดโอกาสให้คุณสามารถทำงานร่วมกับทีมที่แตกต่างกันทางภูมิภาคและเวลา คุณสามารถทำงานร่วมกับผู้คนที่อยู่ไกลออกไปได้ ซึ่งจะเสริมสร้างความหลากหลายและความรู้ความสามารถของคนทำงานได้
  5. สร้างโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ - Remote Working เปิดโอกาสให้คนทำงานได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานแบบดิจิทัล สามารถเข้าถึงคอร์สออนไลน์หรือแหล่งข้อมูลที่มีอยู่มากมายเพื่อพัฒนาความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรในระยะยาวได้ด้วย
  6. ช่วยลดความเครียดและความกดดัน - Remote Working ช่วยลดความเครียดและความกดดันที่อาจเกิดจากการต้องเดินทางหรือสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงานได้ เพราะคนทำงานสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายและเป็นส่วนตัว เหมาะสมสำหรับการทำงานของตัวเองขึ้นมาได้
  7. กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของคนทำงาน - การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม เป็นผลให้วิธีคิด และกรอบการทำงานของคนทำงานเปลี่ยนแปลงไป การไม่ถูกจำกัดอยู่ในกรอบแบบเดิม การได้อยู่ในสถานที่ที่เหมาะสม และการมีเวลาได้อยู่กับตัวเอง ช่วยส่งเสริมความสามารถในการสร้างสรรค์ของคนทำงานได้เป็นอย่างดี

ข้อดีสำหรับองค์กร

  1. ลดค่าใช้จ่ายการเช่าพื้นที่สำนักงาน - การทำงานแบบ Remote Working ช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับพื้นที่สำนักงาน ค่าเช่าพื้นที่สำนักงาน ค่าไฟฟ้า ค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่ให้พนักงานทำงานในสถานที่เดียวกัน ทำให้องค์กรสามารถปรับลดค่าใช้จ่ายในเชิงกลยุทธ์ได้
  2. สร้างโอกาสในการสร้างทีมงานระหว่างที่ต่าง ๆ - การทำงานแบบ Remote Working ช่วยเปิดโอกาสให้องค์กรสามารถสร้างทีมงานที่มีสมาชิกจากที่ต่าง ๆ โดยไม่จำกัดตำแหน่งที่ตั้งภูมิภาค ทำให้สามารถรับสมาชิกที่มีความสามารถและคุณภาพสูงได้จากทุกที่
  3. การเพิ่มประสิทธิภาพของงาน - บางครั้งการทำงานระยะไกลสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของคนทำงานได้ การทำงานในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและรู้สึกสะดวกสบาย ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีสื่อสารที่ทันสมัย เช่น การประชุมผ่านวิดีโอ ช่วยส่งเสริมการสื่อสารและการทำงานร่วมกันระหว่างทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีส่วนช่วยให้งานที่ทำมีผลลัพธ์ที่มีดี สร้างงานที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้

ข้อควรระวังสำหรับการนำ Remote Working มาใช้ในองค์กร

  1. ขาดการสื่อสารและการติดต่อโดยตรง - Remote Working อาจทำให้ขาดการสื่อสารและการติดต่อโดยตรงกับเพื่อนร่วมงานหรือทีมงาน ซึ่งอาจส่งผลให้ขาดข้อมูลหรือเกิดความขัดข้องในการทำงานบางส่วน
  2. การบริหารจัดการเวลาและการกระจายความรับผิดชอบ - Remote Working ทำให้คนทำงานมีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการเวลามากขึ้น แต่ด้วยความหลากหลายของคนทำงาน และรูปแบบการทำงานของแต่ละบุคคล นี่อาจกลายเป็นช่องว่างให้งานล่าช้าหรือไม่เป็นระบบได้
  3. สภาพแวดล้อมทำงานที่ไม่เหมาะสม - ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่บ้านหรือสถานที่ทำงานระยะไกลได้ เช่น มีสถานการณ์ที่เสียงรบกวน สภาพแวดล้อมที่ไม่เพียงพอสำหรับการทำงาน หรือขาดที่เหมาะสมในการทำงาน เช่น โต๊ะทำงานที่ไม่สะดวกสบาย ดังนั้นองค์กรควรอำนวยความสะดวก หรือนโยบายเพิ่มเติมที่สามารถรองรับช่องว่างส่วนนี้ได้
  4. ขาดการมีช่วงเวลาพักผ่อนและเลิกงานชัดเจน - เนื่องจากคนทำงานที่บ้านหรือที่ทำงานส่วนตัว ไม่มีการระบุเวลาการเข้า หรือออกงานชัดเจน ดังนั้น Remote Working อาจส่งผลให้คนทำงานไม่สามารถแยกเวลาระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวได้ แม้การทำงานรูปแบบนี้จะทำให้คนทำงานมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น แต่ในบางครั้งก็อาจทำให้คนทำงานต้องทำงานมากเกินไปหรือไม่มีช่วงเวลาพักผ่อนเพียงพอได้
  5. ความสำเร็จและการเติบโตอาจช้าลง - Remote Working ทำให้เหล่าคนทำงานอาจไม่ได้รับการสนับสนุนและการกำหนดเป้าหมายจากผู้บริหารหรือทีมงานในลักษณะเดียวกันกับการทำงานในสถานที่ทำงานแบบเดิม ซึ่งเป้าหมายเหล่านี้มีส่วนต่อการประเมินผลลัพธ์ในการทำงาน และรอบในการเลื่อนขั้น การทำงานระยะไกลอาจทำให้ความเป็นไปของการเลื่อนขั้นคนทำงานนั้นช้าลงไปด้วย
  6. ความจำเป็นในการมีอุปกรณ์และการเชื่อมต่อที่เหมาะสม - Remote Working ต้องการการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีความเสถียรและความเร็วสูง เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังต้องมีอุปกรณ์ที่เหมาะสมเช่นคอมพิวเตอร์ กล้องเว็บแคม หรือเครื่องมือสื่อสารอื่น ๆ ซึ่งองค์กรควรมีส่วนในการดูแลเรื่องนี้
  7. ความสามารถในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลง - ระบบการทำงานแบบ Remote Working ต้องการการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น ปรับตัวกับเทคโนโลยีใหม่ การใช้เครื่องมือการสื่อสารออนไลน์ หรือการทำงานร่วมกับทีมที่มีสมาชิกต่างกัน ความสามารถในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและปรับตัวเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานแบบ Remote Working

วางระบบ นำ Remote Working มาใช้ในองค์กร

เมื่อองค์กรเห็นชัดแล้วว่า Remote Working นั้นมีประโยชน์อย่างไร และมีข้อพึงระวังอย่างไร หากต้องการนำมาใช้กับองค์กร จำเป็นจะต้องมีการวางระบบที่ชัดเจน และส่งเสริมให้คนทำงานสามารถทำงานแบบ Remote Working ได้อย่างสะดวกสบาย มาดูกันว่าองค์กรควรวางระบบอย่างไร เพื่อให้ Remote Working มีอยู่ได้และมีประโยชน์ต่อองค์กรมากที่สุด

องค์กรต้องปรับตัวอย่างไร ก่อนนำ Remote Working มาใช้

1. วางแผนและกำหนดเป้าหมาย

กำหนดวัตถุประสงค์ของการทำงานแบบ Remote Working ว่าต้องการประโยชน์และผลลัพธ์อะไร เช่น เพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน, ลดค่าใช้จ่ายในด้านพื้นที่สำนักงาน, และเพิ่มความพึงพอใจของพนักงาน นอกจากนี้ยังควรกำหนดเป้าหมายที่เกี่ยวข้องเช่น ต้องการให้พนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้หรือต้องการให้มีเวลาทำงานแบบเฉพาะช่วงเวลาบางส่วน สำหรับการทำงานแบบ Remote Working ในองค์กรของคุณ

2. การเตรียมพื้นฐานเทคโนโลยี

ตรวจสอบและพัฒนาพื้นฐานเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการทำงานแบบ Remote Working อย่างเช่น ระบบเครือข่ายที่มีความเสถียรพอสมควร, การเข้าถึงระบบทางไกล (VPN), ซอฟต์แวร์และเครื่องมือสำหรับการสื่อสารและการทำงานร่วมกันออนไลน์ เช่น โปรแกรมประชุมทางวิดีโอ, เครื่องมือการจัดการโปรเจกต์ออนไลน์ และแอปพลิเคชันที่จำเป็นสำหรับการทำงานของพนักงาน

3. การกำหนดนโยบายและกระบวนการ

กำหนดนโยบายและกระบวนการที่ชัดเจนสำหรับการทำงานแบบ Remote Working เพื่อให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจและปฏิบัติตาม รวมถึงคำแนะนำในการใช้เทคโนโลยีและการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสำคัญ อย่างเช่น การตั้งค่ารหัสผ่านที่แข็งแกร่ง, การใช้งานบัญชีผู้ใช้และการเข้าถึงข้อมูลเฉพาะเมื่อจำเป็น

4. การสื่อสารและการประชุม

สร้างช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างทีมงานและผู้บริหาร เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและข่าวสารในเวลาที่เหมาะสม การใช้โปรแกรมประชุมทางวิดีโอหรือแชทกลุ่ม เช่น MANAWORK, Zoom, Slack หรือ Google Meet อาจช่วยให้การสื่อสารสะดวกสบายและราบรื่น

5. การตรวจสอบและการให้คำปรึกษา

ตรวจสอบการดำเนินงานและให้คำปรึกษาเป็นระยะเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น หรือปรับปรุงกระบวนการในการทำงานแบบ Remote Working เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและประสิทธิภาพของทีมงาน

6. การสนับสนุนและการพัฒนาบุคลากร

ส่งเสริมการพัฒนาทักษะและความสามารถในการทำงานแบบ Remote Working ของพนักงาน โดยการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการเวลาและการทำงานจากระยะไกล และการให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการ Remote Working

7. การบริหารจัดการโครงการ

สร้างวิธีการบริหารจัดการโครงการที่เหมาะสมสำหรับการทำงานแบบ Remote Working โดยใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่มีอยู่ ตั้งค่าระบบการติดตามความคืบหน้าและวิเคราะห์การดำเนินการของโครงการเพื่อให้สามารถนำมาวิเคราะห์และพัฒนาระบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

8. การรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

ให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่มีความลับและความเป็นส่วนตัวขององค์กร ใช้เทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูง เช่น การเข้ารหัสข้อมูล, การตั้งค่าระบบรักษาความปลอดภัย และการฝึกอบรมพนักงานให้มีความสามารถในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล

การสร้างระบบการทำงานแบบ Remote Working ในองค์กรไม่ได้เป็นเรื่องที่มีขั้นตอนที่แน่นอน ควรให้คำแนะนำและสร้างกรอบแนวทางให้กับพนักงานและผู้บริหารได้ทำความเข้าใจและปฏิบัติตามนโยบายที่กำหนดเป็นระยะ เพื่อพัฒนาให้ระบบการทำงานแบบ Remote Working สามารถทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูงขึ้นเรื่อย ๆ

แนะนำ Tools น่าสนใจ สำหรับใช้ Remote Working

Google Tasks

Google Tasks ออกแบบมาอย่างเป็นระเบียบเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ง่าย หากองค์กรได้นำเครื่องมือนี้เข้ามาใช้ ก็จะสามารถสร้างรายการงานสำหรับทุกคนได้อย่างรวดเร็ว ระบุผู้เกี่ยวข้องได้ชัดเจน และติดตามงานได้อย่างง่ายดาย  มีอินเตอร์เฟสที่ใช้งานง่าย ออกแบบสวยงามและเป็นระเบียบ เหมาะกับผู้ใช้งานทุกระดับ ที่สำคัญคือสามารถเชื่อมต่อกับทุกเครื่องมือของ Google ได้ง่ายและรวดเร็ว

ClickUp

ClickUp มีจุดเด่นในการกำหนดและจัดลำดับความสำคัญของงานแต่ละงานได้เป็นอย่างดี ทำให้งานที่ซับซ้อนดูง่ายขึ้น ให้ผู้ใช้สามารถกำหนดเป้าหมาย วันที่กำหนดส่งและติดตามงานได้สะดวก ตลอดจนติดตามการดำเนินงานได้แบบ Real-time ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามความคืบหน้าของโปรเจกต์และงานได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญคือมี Dashboard มืออาชีพที่ช่วยให้การทำงานร่วมกันในองค์กรง่ายขึ้นอีกด้วย

MANAWORK

MANAWORK เป็นเครื่องมือวางแผนงานที่พัฒนาโดยคนไทย ด้วยความเข้าใจพฤติกรรมการทำงานของคนไทยเป็นอย่างดี นี่จึงเป็นเครื่องมือที่เป็นมิตรที่สุดกับผู้ใช้ชาวไทย เพราะสามารถใช้งานภาษาไทยได้ 100% เหมาะกับองค์กรที่เริ่มต้นใช้เครื่องมือในการสื่อสารภายในองค์กร ใช้งานง่ายและมีฟีเจอร์ที่เพียบพร้อมเพื่อการจัดการงาน มีฟีเจอร์สำคัญอย่าง เป้าหมาย ที่ช่วยให้คนทำงานมองเห็นความคืบหน้าของงาน แล้วยังช่วยสร้างแรงกระตุ้นให้พนักงานอยากเอาชนะตัวเอง อยากทำให้สำเร็จ เพราะมีการแสดงความคืบหน้าในชิ้นงานให้เห็นอย่างชัดเจน ที่สำคัญราคาเป็นมิตรมาก องค์กรไหนกำลังเริ่มต้นเข้าสู่ช่วงของการเปลี่ยนผ่าน MANAWORK คือตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุด

โหลด MANAWORK มาใช้ในองค์กร สะดวกสบาย ง่ายจนต้องบอกต่อ

Jira

Jira โปรแกรมวางแผนงานที่มีความหลากหลายและครบวงจร ได้รับความนิยมมากในการใช้งานโดยเฉพาะในงานด้านซอฟต์แวร์ มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายในวงการ IT และเป็นเครื่องมือชั้นนำที่มีความสำคัญในการบริหารจัดการโครงการที่ใช้วิธี Agile หรือ Scrum มีฟังก์ชันการบริหารโปรเจกต์ที่ครอบคลุมและครบวงจร นอกจากนี้ยังสามารถสร้าง Custom Fields, Custom Workflows, และ Custom Dashboards เพื่อตอบสนองความต้องการของทีมงานในการจัดการโปรเจกต์ให้ได้อย่างครอบคลุม

ศึกษาการใช้เครื่องมือเพื่อทำงานแบบ Remote Working ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คลิก

นอกจากนี้ยังมือเครื่องมืออีกมากมายที่องค์กรสามารถนำมาช่วยในการทำงานได้ในแง่มุมอื่น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และการวางแผนของแต่ละองค์กร

สรุป

เพื่อให้ศักยภาพของคนทำงานเพิ่มขึ้น มีอิสระในการบริหารจัดการชีวิต ในขณะเดียวกันองค์กรก็สามารถลดต้นทุน พร้อมทั้งมีโอกาสได้ชิ้นงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ Remote Working อาจเป็นคำตอบ เพียงแต่ต้องอยู่ภายใต้การบริหารจัดการที่เป็นระบบ และการจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ

หากใครกำลังมองหาตัวช่วยการทำงานร่วมกันเป็นทีมด้วยระบบ Remote Working ระบบของ MANAWORK  เป็นหนึ่งในอีกตัวช่วยที่สามารถทำให้คุณทำงานได้อย่างราบรื่นมากขึ้น ภายในระบบมีตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย วางแผน และติดตามการทำงานแบบเป็นขั้นเป็นตอน เสริมสร้างภาพรวมการทำงานในยุคดิจิทัลได้เป็นอย่างดี ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ตามช่องทางต่อไปนี้



Remote Working
MANAWORK Editor MANAWORK Editor · 11 ก.ค. 2566 เวลา 7:33 น.

SUGGEST POSTS